คุยกับครู
ฉบับที่ 2 : วันที่ 2 ธันวาคม 2553
คุณครูที่เคารพทุกท่าน
081-8016072 คือเบอร์โทร.ที่ผมใช้อยู่ มีธุระปะปังก็บอกเล่าเก้าสิบไปนะครับ มีสื่อ/เครื่องมือเหล่านี้อยู่พยายามใช้ให้เป็นประโยชน์จะได้ประหยัดเวลาและน้ำมันรถ ไม่ต้องไปกังวลว่าถ้าใช้โทรศัพท์ติดต่อกับผมแล้วจะถูกกาลเทศะหรือเปล่าหนอ? แม้ว่าผมจะเป็นคนพบง่าย แต่หาตัวยากก็ตาม รับประกันซ่อมฟรีได้ว่า ยินดีรับโทรศัพท์จากพวกเราตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ
อาชีพครูเป็นอาชีพที่สร้างบุญสร้างกุศล กล่าวคือ เป็นอาชีพที่ทำประโยชน์แก่คนอื่น เพื่อให้คนอื่นได้ดิบได้ดี ซึ่งมีเพียงไม่กี่อาชีพที่จะทำเช่นนี้ได้ แต่ครูอย่างพวกเราต่างลำบากตรากตรำกรำงานหนัก จึงมีความเครียดมากกว่าอาชีพอื่น พอเครียดมากร่างกายก็หลั่งสารพิษมาทำลายเซลล์ต่าง ๆ กลายเป็นเนื้อร้ายและมะเร็งในที่สุด พวกเราเห็นทีจะต้องพยายามคิดเชิงบวกให้มากที่สุด ทำความเข้าใจเด็กและปัญหาที่มีอยู่ แล้วทำใจยอมรับว่าบางทีเราก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ดีครบ 100% โลกกลมๆใบนี้มิได้สวยสดงดงามไปทั้งหมด ได้บ้างเสียบ้างช่างปะไร ขอเพียงทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าคิดเช่นนี้ได้สมองของเราจะได้ไม่รกรุงรัง ไม่อัดแน่นไปด้วยของเสีย มีความสบายอกสบายใจ โอกาสที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาระรานก็น้อยลง
มีงานสำคัญที่จะขอทำความเข้าใจกับพวกเราในด้านวิชาการ สัก 3 เรื่อง คือ
1. หลักสูตร
2. การประกันคุณภาพการศึกษา
3. จุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ทั้ง 3 เรื่องนี้ผมได้คุยกับทีมงาน ศน. ซึ่งถือเป็นฝ่ายบุ๋นและกุนซือของผมให้เป็นที่เข้าใจพอสังเขปแล้ว ฉบับนี้ขอสาธยายเรื่องที่ 1 (หลักสูตร) ก่อน
เรื่องที่ 1 : หลักสูตร มี 3 ประเด็นหลัก คือ
1.1 หลักสูตรสถานศึกษา ขอเพียงได้เห็นโรงเรียนของเรามีหลักสูตรที่เป็นตัวตนของโรงเรียนเองไว้ใช้ มีการนำไปใช้จริง มีการปรับปรุงและพัฒนาอยู่เสมอ ก็น่าจะพอไปวัดไปวาตอนเช้าๆได้แล้ว
1.2 การจัดการเรียนรู้ ขอเพียงคุณครูมีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ให้เด็กได้เรียนรู้เป็น “กระบวนการ” (คิด-ทำ-นำเสนอ) ก็น่าจะใช้ได้แล้ว กระบวนการ จะก่อให้เกิดการปฏิบัติ การปฏิบัติทำให้เกิดการคิด การทำงาน มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แถมได้กำไรในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมตามมาอีก การจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องรอบด้านและหลากหลายวิธีการ ไม่มุ่งเน้นเพียงให้เด็กทำแต่แบบฝึกหัด
เรื่องการเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริงนี้เป็นเรื่องสำคัญ คุณครูเราทำได้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าจะทำกันขนาดไหนต่างหาก ควรทำความเข้าใจกับผู้ปกครองให้ชัดเจนว่าสอนให้เด็กปลูกผัก หุงข้าว ทำกับข้าว
1.3 การวัดและประเมินผล ขอเพียง วัด ให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง ถูกต้อง น่าเชื่อถือ ไม่ใช้วิธีการ Lift the clound (ยกเมฆ)จะได้ ประเมิน ได้ถูกต้อง แม่นยำว่าเด็กคนนี้ในเรื่องนี้เรื่องนั้นเขามีความคิดและฝีมือระดับใด ไม่มุ่งเน้นการเรียนรู้เพียงเพื่อตอบคำถามได้ หรือทำข้อสอบได้ นักวัดผลบอกว่าสมัยนี้ต้องปรับเปลี่ยนสไตล์จาก Assessment of Learning ไปเป็น Assessment for Learning และ Assessment as Learning ซึ่งหมายความว่าการประเมินต้องเป็นไป เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ ถือเสมือนว่าการประเมินและการเรียนรู้เป็นเรื่องราวอันเดียวกัน ต้องทำเคียงคู่ไปด้วยกัน ทำเป็นน้ำแยกสาย ไผ่แยกกอไม่ได้ เพราะการตอบคำถามได้ไม่เพียงพอและไม่สามารถทำให้คนโต้ลมฝนทนลมหนาวยืนระยะอยู่ในยุคนี้ได้ ถ้าปรับแนวคิดเป็นเช่นนี้ได้ ข้อสอบก็คงจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ/วิธีการ และทุเลาลง วิธีการประเมินก็คงจะต้องใช้ตาดู หูฟัง ลิ้นชิมรส กายสัมผัส เพื่อเก็บข้อมูลให้สมองกลั่นกรองและสังเคราะห์ จากนั้นค่อยส่งให้ปากคอมเม้นท์และมือจดบันทึกหรือสาธยายออกมาเป็น ผลการประเมิน ที่มีความเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น สำหรับเรื่องที่ 2 และเรื่องที่ 3 ขอยกยอดไปฉบับต่อๆไปนะครับ
ปีงบประมาณ 2554 สพป.ของเราได้อัตราครูที่เกษียณก่อนกำหนด (เมื่อ 1 ตุลาคม 2553) คืนมาใน รอบแรก 52 ตำแหน่ง (100 %) ได้พยายามจัดคืนให้โรงเรียนเดิม (แต่ต้องไม่เกินเกณฑ์) เป็นหลัก โรงเรียนที่ขาดแคลนติดลบ 30% ขึ้นไป ต้องดูแลให้สภาพดังกล่าวหมดไปโดยจัดสรรอัตรามาให้เพื่อจะได้ติดลบลดลง ส่วนรอบ 2 จะมีจัดสรรเพิ่มเติมมาให้อีกถ้าสพฐ.ได้ภาพรวมระดับประเทศแล้วส่องกล้องมองดูว่า สพป.ของเรายังมีสภาพการขาดแคลนสูงในระดับต้น ๆ แต่คงจะได้ไม่มากนัก ตำแหน่งที่ได้มาทั้งหมดนี้ คงจะไปใช้ได้ราวๆ เดือนพฤษภาคม 2554 เพราะมีกระบวนการทั้งเยอะและยาว โดยจะต้องกันไว้ 25% ของอัตราที่ได้มาทั้งหมด เพื่อใช้สำหรับคัดเลือกพนักงานราชการและลูกจ้างประจำ ที่ทำหน้าที่ครูในการขยับฐานะตนเองไปเป็นครูผู้ช่วยอีกด้วย
สำหรับการย้ายครูผู้สอน ตำแหน่งว่างมี 20 ตำแหน่ง มีคุณครูที่สามารถย้ายได้ เพียง 8 ราย หลังจากนี้คงจะต้องบรรจุผู้สอบแข่งขันขึ้นบัญชีไว้ตามวิชาเอกที่โรงเรียนต้องการโดยเร็ว มีข้อสังเกตว่าครูที่จบวิชาเอกการประถมศึกษาจะมีโอกาสย้ายได้น้อยกว่าวิชาที่เป็นวิชาหลัก อีกวิชาเอกคือเอกบริหารการศึกษา ไม่มีโรงเรียนใดเสนอความต้องการอยากได้ คงจะเสียววาบๆกันว่าโรงเรียนมีผู้บริหารอยู่แล้วขืนเสนอความต้องการครูผู้สอนวิชาเอกบริหารเข้าให้อีก เดี๋ยวจะมาช่วยกันบริหารโรงเรียนจนเสียรูปมวยได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามคงจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการให้หายใจหายคอคล่องขึ้นภายหลัง
ส่วนตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน มีตำแหน่งว่าง 5 ตำแหน่ง สามารถย้ายลงได้ 2 ตำแหน่ง เหลืออีก 3 ตำแหน่ง ไม่มีผู้ยื่นขอย้ายจะต้องแต่งตั้งผู้ผ่านการคัดเลือกที่ขึ้นบัญชีไว้โดยเร็ว
เรื่องการย้ายมีประเด็นที่ขอเน้นย้ำคือ “ความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษา” ทั้งในแง่มุมของ การกำหนดความต้องการอัตรากำลัง (วิชาเอก) การให้ความเห็นชอบและเสนอแนะบุคคลที่ขอย้ายมาดำรงตำแหน่งในโรงเรียนนั้น ๆ ของผู้บริหารและครู เจตนารมณ์ที่สำคัญอันดับแรก คือ ต้องการ “การมีส่วนร่วม” ของทุกภาคส่วน ดังนั้นความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาจึงมีความสำคัญและจำเป็นต้องมีเพราะเป็นขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ทำ จะละเว้นไม่ทำไม่ได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเป็น การเสนอแนะ ต่อ อ.ก.ค.ศ.เขตทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตฯ มีข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจมากขึ้น จะเกิดความรอบคอบ ถูกต้องตรงประเด็น การย้ายผู้บริหารและครูจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนมากขึ้น สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ย้ายแสดงว่ายังชดใช้หนี้กรรม ณ ที่ตรงนั้นไม่หมด ขอให้อดทนทำคุณงามความดีต่อไปอย่าหยุดยั้ง สักวันความดีย่อมส่งผล
กระทรวงศึกษาธิการของเรา ออกประกาศให้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนในระดับจังหวัด” (ยกเว้นกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ท่านศิวชาติ ศิริเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียนพลูหลวงวิทยา กำลังตระเวนบกตระเวนน้ำประสานมวลมิตรพี่น้องจัดตั้ง สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงเรียนเอกชนจังหวัด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจของการศึกษาเอกชนให้บรรเจิด ทุกอย่างในยุคนี้หยุดไม่ได้ ผู้ใดหยุดจะเป็นผู้ถูกหยุด ณ เวลานี้ โรงเรียนเอกชนฟิตเปรี๊ยะ แน่นปั๋ง แข็งเป๊ก
สัมปทานหมด....ท้ายนี้ ขอฝากสุภาษิตของคนแคระ “นอนที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญว่านอนกับใคร”(จะทำอะไรกับใครที่ไหนอย่างไร ศึกษาข้อมูลให้ดีๆก่อน) ..... สวัสดี.